ลูกร้องไม่ใช่หิวเสมอไป
พญ. ศิริพัฒนา ศิริธนารัตนกุล
สิ่งที่คุณแม่คนใหม่มักจะเป็นกังวล คือ จะมีน้ำนมพอสำหรับลูกหรือไม่ และเมื่อลูกร้องก็มักคิดไปว่า ลูกหิว เพราะน้ำนมแม่ไม่พอหรือเปล่า
ลูกร้องไม่ได้หมายความว่าหิวเสมอไป ในช่วงวันแรกๆลูกต้องการความใกล้ชิดอบอุ่นจากอกแม่ มากกว่าต้องการอาหาร เพราะทารกแรกเกิดมีไขมันสะสมอยู่ใต้ผิวหนังอยู่มากพอที่จะมีชีวิตอยู่ได้หลายวัน การร้องไห้ของลูกจึงเป็นการร้องเรียกหาสัมผัสจากแม่ สังเกตว่าถ้าหากลูกได้อยู่แนบชิดกับแม่ตลอดเวลา ลูกจะไม่ค่อยร้อง
อยากจะให้คุณแม่ลองนึกว่าเราเป็นทารกเล็กๆที่นอนขดอยู่ในท้องแม่อย่างอบอุ่นสบายเป็นเวลา 9 เดือน มีมดลูกบรรจุด้วยน้ำคร่ำห่อหุ้มให้ความรู้สึกปลอดภัย ยังไม่ต้องหายใจเอง และไม่ต้องกินอาหารเอง เพราะ อ๊อกซิเจนและสารอาหารต่างๆผ่านมาทางรก ดังนั้น เมื่อแรกที่ลูกพ้นจากที่อยู่อันอบอุ่นปลอดภัยสู่โลกอีกใบที่เขาไม่คุ้นเคย จึงเป็นธรรมดาที่ลูกจะต้องร้อง ต้องไขว่คว้าหาสิ่งที่คุ้นเคย ณ เวลานี้ล่ะค่ะ คือเวลาที่ลูกต้องการอ้อมอกอุ่นของแม่มากที่สุด
ให้ลูกได้กลิ้งเกลือกอยู่บนตัวแม่ ตั้งแต่หลังคลอดใหม่ๆ ลูกจะได้เริ่มใช้สัญชาตญาณที่มีติดตัวมา เพื่อความอยู่รอดของตัวเขาเอง ลูกมีความสามารถมากกว่าที่เราคิดค่ะ ทารกแรกเกิดมีสัญชาตญาณที่จะขยับขาทำท่าคล้ายการก้าวเดิน เพื่อค่อยๆคืบคลานขึ้นไปหาแหล่งอาหาร คือเต้านมแม่ โดยมีลานนมที่มีสีคล้ำเป็นจุดหมาย แม่คอยช่วยประคองเพียงเล็กน้อย เมื่อแก้มของลูกสัมผัสกับเต้านม เป็นการกระตุ้นสัญชาตญาณอีกอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้ลูกอ้าปากกว้างไซ้หา ไปจนถึงลานนม ลานนมที่สัมผ้สริมฝีปากลูก กระตุ้นให้ลูกอ้าปากงับลานนมเข้าไปในปาก และ เริ่มดูดนมแม่ได้ทันที
นี่คือความสามารถของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด รวมถึงมนุษย์ด้วย ความสามารถที่จะไขว่ คว้า คลาน ขยับ ไปจนถึงอกแม่
บนอกแม่นี้ ลูกจะได้ยินเสียงหัวใจแม่เต้นอย่างที่เคยได้ยินมาตลอด 9 เดือน
บนอกแม่นี้ ลูกจะได้กลิ่นน้ำคร่ำที่เคยห่มคลุม ได้สัมผัสกับไออุ่นจากผิวของแม่
บนอกแม่นี้ ลูกจะเริ่มได้รับความรักผ่านทางอ้อมกอด และน้ำนมอุ่น
การเริ่มต้นที่สวยงามเช่นนี้ คือ การเริ่มต้นความสัมพันธ์แม่ลูกที่จะคงอยู่ต่อไปอย่างยาวนาน
สมองของแม่ต้องเปิดรับรู้ความรู้สึกของลูก เข้าใจว่าลูกว้าเหว่ ต้องการสัมผัสที่มั่นคงแต่อ่อนโยน ส่งผ่านความรักทั้งหมดไปยังลูกด้วยการลูบไล้ผิวลูก ดื่มด่ำไปกับเนื้อตัวนุ่มนิ่มแบบบางของลูก สมานใจให้เป็นหนึ่งเดียว
ใจที่เป็นหนึ่งเดียวทำให้เราคิดและรู้สึกในมุมมองของลูก อย่าเอาความรู้สึกของเราเป็นใหญ่ ผ่อนจังหวะชีวิตให้ช้าลง ณ ขณะนี้มีเพียงเราและลูกน้อย
ลูกไม่รู้หรอกว่าน้ำนมแม่ในเต้ามีมากน้อยแค่ไหน รู้แต่ว่าธรรมชาติสร้างให้ฉันอ้าปากดูดนมจากเต้า ฉันก็จะทำหน้าที่ดูดไปเรื่อยแหละ ฉะนั้น เราก็ไม่ต้องรู้ว่ามีน้ำนมมากน้อยแค่ไหน ลูกอ้าปากดูดเต้า เราก็ให้ดูดไป ดูดๆๆไปสักพักลูกก็หยุด แป๊บๆกลับมาดูดใหม่อีกแล้ว ก็เป็นธรรมชาติของลูกค่ะที่เป็นแบบนี้ ไม่ต้องแปลความหมายใดๆทั้งสิ้น ในช่วงแรกๆนี้ลูกจะดูดนมแม่กันแทบจะทั้งวันทั้งคืน เพื่อเป็นการกระตุ้นการสร้างน้ำนมให้มากขึ้นๆเรื่อยๆ ยิ่งดูดมาก ดูดบ่อย และดูดโดยหัวนมแม่ไม่เจ็บ ยิ่งทำให้น้ำนมผลิตออกมามากขึ้น
ลูกไม่รู้หรอกว่าตอนนี้เวลาผ่านไปแล้วกี่นาที กี่ชั่วโมง เราก็ไม่จำเป็นต้องรู้เช่นกันค่ะ นาฬิกาชีวิตในตัวลูกจะเป็นตัวบอกเองว่าเมื่อไรจะกิน เมื่อไรจะนอน แม่ต้องทำตามนาฬิกาชีวิตของลูก ไม่ใช่ทำตามนาฬิกาที่อยู่บนข้างฝา หมุนนาฬิกาชีวิตของเราให้ตรงกับของลูกเสียตั้งแต่เริ่มต้น จะทำให้อะไรต่ออะไรง่ายขึ้นเยอะ
|